รู้ทัน Work From Home ไม่ให้เป็นคนบ้างาน (Workaholic)

Read More

รู้ทัน Work From Home ไม่ให้เป็นคนบ้างาน (Workaholic)

Work from home

ตอนนี้คนที่ Work from home ทั้งโลกกำลังประสบปัญหาเดียวกันนั่นคือ เวลาส่วนตัวกับเวลางานแทบจะผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก บางคนต้องตั้งนาฬิกาปลุกตัวเองเพื่อที่เตือนให้ไม่ลืมกินข้าวในระหว่างวัน บางคนต้องรับมือกับลูกตัวน้อยพร้อม ๆ กับรับผิดชอบงานออฟฟิศไปพร้อม ๆ กัน และสำหรับหลายคน คืนวันหยุดอันแสนสนุกที่จะได้นอนดูซีรีส์หายไปกับการ Video Conference 

ด้วยความที่เราสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น จากการลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็สามาถทำงานได้แล้ว นั่นทำให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบไม่หยุดยั้ง พฤติกรรมการเข้าใช้งานอีเมลในแต่ละวันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน โดยเวลาที่ถูกตั้งให้ปลุกขึ้นมาทำงานขยับสายขึ้น แต่พบว่าเวลาที่อีเมลถูกส่งมากที่สุดกลายเป็น 9 โมงเช้า (อ้างอิงจากข้อมูลของ Superhuman) และยังมีข้อมูลว่าพนักงานจำนวนมากกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้งในช่วงดึก โดยมีการเข้าใช้งานเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสามอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน

คนบ้างาน

จากการสำรวจโดยการสอบถามแบบปากเปล่า หลายบริษัทก็ให้ข้อมูลยืนยันตรงกันว่าพนักงานของพวกเขาทำงานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง บางบริษัททำงานถึงวันละ 12 ชั่วโมงต่อวันจากที่เคยทำเพียง 9 ชั่วโมง นั่นเพราะเราสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วขึ้นและไม่จำเป็นต้องเดินทาง รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ถูกยกเลิก เราไม่สามารถออกไปทานข้าวเย็นได้ ไม่สามารถไปออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ เวลาที่ว่างขึ้นนั้นเลยนำไปสู่ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวนั่นเองครับ

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนบ้างาน ส่วนมากจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองบ้างาน อาจจะเรียกว่าอาการเสพติดงานก็ได้ พวกเขามักมองว่า ถึงงานเยอะแต่มันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเขาได้เงินตอบแทน ได้รับการยอมรับ ได้ในสิ่งที่ตัวเองคิด หากมองในมุมนี้แล้ว ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปซะทีเดียว แต่ถ้าเริ่มมีอาการเบื้องต้นในด้านร่างกาย คือ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดท้ายทอย สายตาพร่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกาย จนกลายเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ตามมาอีกมากมายในอนาคต เช่น โรคหัวใจ โรคกระเพาะ เบาหวาน และความดัน เป็นต้น ส่วนอาการในด้านอารมณ์ คือ กลายเป็นผู้ที่มองอะไรขวางหูขวางตาไปหมด เกรี้ยวกราดกับเพื่อนร่วมงาน การพูดคุยไม่เหมือนเดิม จะให้ความสนใจแต่เฉพาะในเรื่องของการทำงาน จนส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย

แล้วจุดที่พอดีอยู่ตรงไหนล่ะ? คงไม่สามารถมีนิยามตายตัว เพราะในบางช่วง ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่งานจะเยอะมากๆ จนเราต้องรีบทำและเคลียให้เสร็จ หรือเรารู้สึกสนุกกับงานจนอยากทำต่อเรื่อยๆ แต่ยังไงก็ควรดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตัวเอง ดูความสัมพันธ์รอบตัว ว่ามีปัญหารึเปล่า พยายามดูแลให้ดีควบคู่ไปกับการทำงาน เช่น เรามีอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม รึเปล่า เพราะมักเป็นอาการที่มาคู่กับเวลาที่เราทำงานหนักๆครับ และควรมีการผ่อนคลายในระหว่างการทำงาน เช่น หลับตา หายใจลึกๆ สักพัก และระหว่างเวลาทำงานในทุก 1 ชั่วโมง ควรใช้สมอง 45 นาที แล้วพัก 10-15 นาที ก็จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นด้วยครับ

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับ ว่าตัวเองเข้าข่ายคนบ้างาน (Workaholic) รึเปล่า SKY รวบรวม Checklist อาการมาให้แล้ว ไปดูกันเลยครับ!

คนบ้างาน (Workaholic)

อาการของคนบ้างาน (Workaholic)

  • หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าเราจะมีเวลาทำงานมากขึ้นได้อย่างไร
  • ใช้เวลาทำงานมากกว่าที่ตั้งใจไว้
  • ทำงานเพื่อรักษาคุณค่าในตนเอง
  • หากทำงานน้อยลง จะรู้สึกผิด วิตกกังวล
  • ไม่ฟังเสียงจากคนรอบข้างเรื่องการทำงานที่มากเกินไป
  • มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบตัวเนื่องจากทำงานที่มากเกินไป
  • มีปัญหาสุขภาพที่มาจากการทำงาน

ถึงแม้ว่าเราจะ Work From Home แต่เราก็ต้องแยกให้ออกด้วยนะครับ ว่าเวลาไหนต้องโฟกัสอะไร เมื่อต้องทำงานก็โฟกัสที่งาน แต่เมื่อถึงเวลาต้องพักผ่อน เป็นเวลาส่วนตัว ก็ต้องพักจริงๆนะครับ พยายามฝึกตัดความคิดในหัวของเราที่จะคิดเรื่องงานให้ได้ ให้สมองพักผ่อนบ้าง ตื่นมาตอนเช้าจะได้สดใสพร้อมลุยงานต่อได้อย่างมีคุณภาพนะครับทุกคน

 

ขอบคุณข้อมูล www.brandbuffet.in.th

คุณเป็นพวกบ้างาน Workaholic รึเปล่า?

ติดต่อเรา

เราจะเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น

ข้อความสำหรับขอความยินยอมในหน้าเว็บไซต์ https://www.skyict.co.th หากท่านยินยอมให้ทางบริษัทประมวลผลข้อมูลในกรณีใดๆ กรุณาทำเครื่องหมาย / ในช่อง ด้านหน้า