สุดยอดเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อน Metaverse

Read More

สุดยอดเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อน Metaverse

 

ในปี 2022 นี้ ถ้าพูดถึงคำว่า Metaverse น่าจะกลายเป็นคำคุ้นหูของนักธุรกิจและนักการตลาดไปแล้ว โดยกระแสของโลกใหม่นี้รุนแรงขึ้นขั้นที่ Facebook เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เลยทีเดียว โดยทาง Meta ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ Metaverse ว่ามันคือการเชื่อมต่อกันระหว่างโลกที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน กับโลกเสมือน ผ่านตัวตนแบบดิจิทัลที่เรียกว่า อวาตาร์ (Avatars) ที่มีเทคโนโลยี AR และ VR เข้ามามีส่วนสร้างโลก 3 มิติ ซึ่งจะเป็นยุคใหม่ของการสื่อสารระหว่างผู้คน

Meta-Metaverse

ขอบคุณภาพจาก Meta

แน่นอนว่าบริษัท Meta นั้นไม่ได้เป็นผู้คิดค้น Metaverse เป็นเจ้าแรก เพราะแนวคิดเรื่อง Metaverse มีมาตั้งแต่ปี 1992 ในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Snow Crash โดย Neal Stephenson ซึ่งได้เขียนถึงโลกออนไลน์ที่ผู้คนใช้อวาตาร์เพื่อสำรวจและหลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง จวบจนหลายทศวรรษต่อมา บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จึงได้เริ่มสร้าง Metaverse แห่งอนาคตในเวอร์ชั่นของตนเอง 

แท้ที่จริงแล้ว Metaverse คืออะไร? และบริษัทยักษ์ใหญ่จะเข้าใกล้เทคโนโลยีเหล่านั้นได้อย่างไร? วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันครับ

what-is-metaverse

Metaverse คืออะไร?

“Metaverse” หรือในภาษาไทยเรียกกันว่า “จักรวาลนฤมิต” เป็นแนวคิดของโลกดิจิทัล 3 มิติ ที่มีพื้นที่และวัตถุเสมือนจริง ถ้ายังไม่ค่อยเข้าใจ… อยากให้คุณลองนึกภาพว่าคุณกำลังไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ผ่านอวาตาร์ในร้านกาแฟเสมือนจริง หรือเยี่ยมชมงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง หรือเข้ารวมชมคอนเสิร์ตวงดนตรีเคป๊อบในคอนเสิร์ตเสมือนจริง โดยทั้งหมดที่กว่ามานี้สามารถทำได้ในบ้านของคุณเอง

บริษัทเกมบนโลกบล็อกเชนอย่าง Axie Infinity, The Sandbox, Decentraland ได้เลือกบางส่วนของ Metaverse นำมาผนวกกับปัจจัยอันหลากหลายในชีวิตเราเข้าสู่โลกออนไลน์ อย่างไรก็ตาม Metaverse ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ไม่มีใครรู้ว่าจะมี Metaverse ที่รวบรวมทุกอย่างไว้เพียงโลกเดียว หรือ Metaverse หลายโลกที่คุณสามารถท่องเที่ยวได้

ขณะที่แนวคิดยังคงพัฒนาต่อไป โดยคาดว่าจะมีการพัฒนาไปนอกเหนือจากวิดีโอเกมและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ Metaverse ยังมีคุณสมบัติที่รองรับ Remote working, Decentralized Governance และ Digital Identity นอกจากนี้ยังมีการทำงานแบบหลายมิติเมื่อใช้งานผ่านชุดหูฟังและแว่นตา VR เพื่อให้ผู้ใช้เดินไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจพื้นที่ 3 มิตินี้ได้จริง

The Sandbox Metaverse

ขอบคุณรูปจาก The Sandbox

การพัฒนาล่าสุดของ Metaverse

เมื่อ Facebook เปลี่ยนชื่อเป็น Meta ในเดือนตุลาคม 2021 คำว่า Metaverse ได้กลายเป็น Buzzword ที่ยอดฮิต เพื่อรองรับการรีแบรนด์โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง Meta จึงได้ทุ่มทรัพยากรให้กับแผนกใหม่ Reality Labs ที่มีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว ๆ สามแสนล้านบาท) ในปี 2564 แนวคิดคือการพัฒนา Metaverse ทั้งเนื้อหา ซอฟต์แวร์ ตลอดจนชุดหูฟัง AR และ VR โดย Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้งและ CEO Meta เชื่อว่า Metaverse จะแพร่หลายเหมือนกับสมาร์ตโฟนในอนาคต

การระบาดใหญ่ของ COVID-19 เป็นตัวเร่งผู้คนมีความสนใจในการพัฒนา Metaverses เนื่องจากมีผู้คนเริ่มทำงานจากระยะไกลมากขึ้น ผู้คนจึงมีความต้องการโต้ตอบกับผู้อื่นเพิ่มมากขึ้นด้วย อย่างพื้นที่ 3 มิติเสมือนจริงที่อนุญาตให้เพื่อนร่วมงานเข้าร่วมการประชุม การติดตามงาน และการทำงานร่วมกันกำลังเพิ่มขึ้น Microsoft Mesh ที่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2564 ได้นำเสนอตัวอย่างฟีเจอร์ Immersive Spaces พื้นที่เสมือนจริงสำหรับผู้ใช้ในการพบปะและทำงานร่วมกันโดยใช้อวาตาร์ ทำให้การประชุมทีมทางไกลมีส่วนร่วมและสนุกสนานมากขึ้น

Microsoft Mesh

ขอบคุณภาพจาก Microsoft Mesh

เกมออนไลน์บางเกมพร้อมเปิดรับ Metaverse แล้วเช่นกัน อย่าง Pokémon Go เกมมือถือ AR ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมยุคแรก ๆ ที่เข้าถึงแนวคิดนี้ โดยให้ผู้เล่นตามล่าโปเกมอนในโลกแห่งความเป็นจริงผ่านการใช้แอปสมาร์ตโฟน อย่าง Fortnite ก็เป็นเกมยอดนิยมอีกเกมหนึ่งได้ขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกิจกรรมต่าง ๆ ในโลกดิจิทัล รวมถึงการจัดอีเวนท์ของแบรนด์และคอนเสิร์ต

นอกเหนือจากโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มเกมแล้ว บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia ก็ได้เปิดโอกาสใหม่ในโลกเสมือนจริงด้วยเช่นกัน โดย Nvidia Omniverse เป็น Open Platform ที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ 3D เข้ากับ Shared universe เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างวิศวกร นักออกแบบ และผู้สร้างโดยภาพเสมือนจริง ปัจจุบันมีการใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น BMW Group ใช้ Omniverse เพื่อลดเวลาในการผลิตและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยการผลิตอันชาญฉลาด

Nvidia Omniverse

ขอบคุณภาพจาก Nvidia Omniverse

เทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อน metaverse

เพื่อเพิ่มความประทับใจให้กับผู้ใช้ Metaverse บริษัทต่าง ๆ จึงหันมาใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ​​เช่น บล็อคเชน และ คริปโตเคอร์เรนซี, Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR), การสร้าง 3D, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) เพื่อขับเคลื่อน โลกเสมือนจริง

Blockchain-and-cryptocurrency

บล็อคเชน และ คริปโตเคอร์เรนซี

เทคโนโลยีบล็อกเชน ได้มอบทางออกให้กับการกระจายศูยน์อำนาจและความโปร่งใส ที่ข้อมูลดิจิทัลทั้งหมดสามรถตรวจสอบได้ทั้ง ความเป็นเจ้าของ, การสะสมดิจิทัล, การถ่ายโอนมูลค่า, การกำกับดูแล, ความสามารถการเข้าถึงได้, และความสามารถในการทำงานร่วมกันกับ คริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนมูลค่าในขณะที่ทำงานหรือเข้าสังคมในโลกดิจิทัล 3 มิติ

คริปโต สามารถซื้อที่ดินเสมือนจริงใน Decentraland ได้ โดยผู้เล่นสามารถซื้อที่ดินขนาด 16×16 เมตร ในรูปแบบของ NFT ได้ด้วยสกุลเงินดิจิทัล MANA ของเกมนี้ ด้วยการสนับสนุนของเทคโนโลยีบล็อกเชน เจ้าของที่ดินเสมือนจริงสามารถสร้างอะไรก็ได้บนที่ดิน ทั้งยังมีความปลอดภัยอีกด้วย

ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่า คริปโต สามารถจูงใจให้ผู้คนทำงานใน Metaverse ได้จริง เนื่องจากบริษัทจำนวนมากทำงานผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น เราอาจได้พบการเสนองานที่เกี่ยวกับ Metaverse ก็เป็นได้

Augmented-reality-(AR)-virtual-reality-(VR)

Augmented reality (AR) และ virtual reality (VR)

Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ได้มอบประสบการณ์ 3 มิติเสมือนจริงที่แสนเพลิดเพลิน นี่เป็นจุดเริ่มต้นสู่โลกเสมือนจริงของเรา แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่าง AR และ VR กันล่ะ?

AR ใช้องค์ประกอบภาพดิจิทัลและคาแรคเตอร์ เพื่อปรับให้เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเทคโนโลยีนี้เข้าถึงได้ง่ายกว่า VR และใช้ได้กับสมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์ที่มีกล้องเกือบทุกชนิด ผ่านแอปพลิเคชั่น AR ผู้ใช้สามารถดูสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวไปพร้อมกับ Interactive digital visuals เหมือนกับในเกมมือถือ Pokémon GO เมื่อผู้เล่นเปิดกล้องบนโทรศัพท์แล้วจะเห็นโปเกมอนในโลกแห่งความจริง

New Pokémon Snap

ขอบคุณภาพจาก Pokémon GO Thailand

ส่วน VR ทำงานแตกต่างกันกับ AR แต่มีคอนเซ็ปต์เดียวกับ Metaverse คือการสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด จากนั้นผู้ใช้จะสามารถสำรวจพื้นที่ได้โดยใช้ชุดหูฟัง ถุงมือ และเซนเซอร์

วิธีการทำงานของ AR และ VR ทำให้เห็น Metaverse รุ่นต้นแบบ ที่ AR จะสร้างโลกดิจิทัลที่รวมเนื้อหาภาพที่สมมติขึ้น เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาจนเข้าที่แล้ว VR จะเข้าพัฒนาต่อ ให้การใช้ Metaverse สอดคล้องกับการจำลองทางกายภาพด้วยอุปกรณ์ VR ผู้ใช้จะสามารถสัมผัส ได้ยิน และโต้ตอบกับผู้คนจากส่วนอื่น ๆ ของโลกได้ ทั้งนี้เราสามารถคาดหวังให้บริษัทผู้สร้าง Metaverse ลงทุนในการพัฒนาอุปกรณ์ AR และ VR ในอนาคตอันใกล้นี้

Artificial intelligence (AI)

ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ปัญญาประดิษฐ์ หรือเรียกกันว่า AI ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตของเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่อง การวางแผนกลยุทธ์ การตัดสินใจ การจดจำใบหน้า การคำนวณที่เร็วขึ้น และอื่น ๆ อีกมากมายที่ AI สามารถทำได้ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ AI ไปใช้สร้าง Metaverses ที่สมจริง

AI มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากด้วยความเร็วสูง เมื่อรวมกับเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง อัลกอริทึม AI จะสามารถเรียนรู้จากการทำซ้ำครั้งก่อน โดยคำนึงถึงข้อมูลเก่า เพื่อสร้างผลลัพธ์และข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร

ใน Metaverse AI สามารถใช้กับตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เล่น (NPC) ในสถานการณ์ต่าง ๆ NPC มีอยู่ในเกือบทุกเกม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองและตอบโต้กับผู้เล่น ด้วยความสามารถในการประมวลผลของ AI ทำให้สามารถวาง NPC ข้ามพื้นที่ 3 มิติได้ ช่วยอำนวยความสะดวกในการสนทนาที่เหมือนจริงกับผู้ใช้ หรือทำงานอื่น ๆ ต่างจากผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์ โดย AI NPC สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองและใช้งานพร้อมกันโดยผู้เล่นหลายล้านคนได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้หลากหลายภาษา

การประยุกต์ที่เป็นไปได้อีกอย่างก็คือการสร้างอวาตาร์ โดย AI Engine สามารถใช้วิเคราะห์ภาพ 2 มิติ หรือสแกนภาพ 3 มิติ สร้างอวาตาร์ที่ดูสมจริงและแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อทำให้กระบวนการมีไดนามิกมากขึ้น AI ยังสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างการแสดงออกทางสีหน้า ทรงผม เสื้อผ้า และคุณลักษณะต่าง ๆ เพื่อพัฒนาอวาตาร์ที่เราสร้างขึ้น

3D-Reconstruction

3D Reconstruction

แม้ว่านี่ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่การใช้การสร้างภาพ 3D ขึ้นใหม่ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่นั้นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการล็อกดาวน์ทำให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นผู้ซื้อไม่สามารถเยี่ยมชมอสังหาริมทรัพย์ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นบางบริษัทจึงนำเทคโนโลยีการสร้างภาพ 3D เพื่อสร้างสถานที่เสมือนจริงให้ได้เยี่ยมชม ผู้ซื้อสามารถมองไปรอบๆ บ้านใหม่ได้จากทุกที่และซื้อได้เลยโดยไม่ต้องเข้าไปดูบ้านตัวอย่าง

หนึ่งในความท้าทายสำหรับ Metaverse คือการสร้างโลกดิจิทัลที่ใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริงมากที่สุด เทคโนโลยีการสร้างภาพ 3D มันสามารถสร้างพื้นที่ที่เหมือนจริงและดูเป็นธรรมชาติได้ด้วยกล้อง 3D แบบพิเศษ เราสามารถนำโลกของเราไปสู่โลกออนไลน์ได้ โดยการแสดงแบบจำลองอาคาร 3D ที่แม่นยำ จากนั้นข้อมูลพื้นที่แบบ 3D และการถ่ายภาพ 4K HD จะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ เพื่อประมวลผลและสร้างแบบจำลองเสมือนใน Metaverse เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสแบบจำลองดิจิทัล ที่เรียกได้ว่าเหมือนของจริงอย่างกับแกะ

Internet-of-things-(IoT)

Internet of things (IoT)

แนวคิดของ Internet of Things (IoT) เปิดตัวครั้งแรกในปี 2542 พูดก็คือ IoT เป็นระบบที่นำทุกสิ่งบนโลกของเรามาเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตผ่านเซนเซอร์และอุปกรณ์ หลังจากเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เหล่านี้จะมีตัวระบุเฉพาะและความสามารถในการส่งหรือรับข้อมูลโดยอัตโนมัติ ทุกวันนี้ IoT เชื่อมต่อกับลำโพงสั่งงานด้วยเสียง อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมายเข้ากับข้อมูลที่หลากหลาย

หนึ่งในการประยุกต์ใช้ของ IoT บน Metaverse คือการรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลของโลกความเป็นจริง สิ่งนี้จะเพิ่มความแม่นยำของการแสดงข้อมูลดิจิทัล เช่น ข้อมูลที่ป้อนให้ IoT สามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานของวัตถุบางอย่างใน Metaverse โดยวิธีการทำงานจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ

การใช้ IoT สามารถเชื่อมต่อโลก 3D กับอุปกรณ์ในชีวิตจริงเป็นจำนวนมากได้อย่างราบรื่น สิ่งนี้ทำให้สร้างการจำลองแบบเรียลไทม์ใน Metaverse เพื่อเพิ่มความสมจริงใน Metaverse ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น IoT ยังสามารถใช้ AI และ Machine Learning เพื่อจัดการกับข้อมูลที่รวบรวมมาได้

Challenges-of-the-metaverse

ความท้าทายของ Metaverse

Metaverse ยังอยู่ในจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ยังมีความท้าทายอีกหลากหลายอย่าง เช่น การตรวจสอบตัวตนและการรักษาความเป็นส่วนตัว เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง การระบุตัวบุคคลไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในขณะที่ผู้คนท่องโลกดิจิทัลในรูปอวาตาร์ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกหรือพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เช่น ผู้คุกคาม (Malicious actors) หรือแม้แต่บอทสามารถเข้าสู่ Metaverse แล้วแอบอ้างเป็นคนอื่นได้ ซึ่งสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือหลอกลวงผู้ใช้รายอื่น

ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือความเป็นส่วนตัว Metaverse อาศัยอุปกรณ์ AR และ VR เพื่อมอบประสบการณ์ที่สมจริงให้กับผู้ใช้ ดังนั้นเทคโนโลยีเหล่านี้จึงมาพร้อมกับ กล้องสุดล้ำ และ Unique Identifiers ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ในที่สุด

สรุป

ในขณะที่ Metaverse ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา หลายบริษัทเองก็กำลังค้นหาศักยภาพในตัวของมัน ในโลกคริปโต Decentraland และ The Sandbox ถือว่าเป็นโครงการที่โดดเด่น แต่บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Microsoft, Meta และ Nvidia ก็มีส่วนร่วมในโครงการนี้ด้วยเช่นกัน เหล่าเทคโนโลยี AR, VR และ AI ได้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นคุณสมบัติใหม่ที่น่าตื่นเต้นในโลกเสมือนจริงที่ไร้พรมแดนเหล่านี้ ส่วนครั้งหน้าสกายจะนำเทคโนโลยีอะไรมานำเสนออีก ต้องติดตามครับ

 

ขอบคุณที่มา : Binance Academy 

ติดต่อเรา

เราจะเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น

ข้อความสำหรับขอความยินยอมในหน้าเว็บไซต์ https://www.skyict.co.th หากท่านยินยอมให้ทางบริษัทประมวลผลข้อมูลในกรณีใดๆ กรุณาทำเครื่องหมาย / ในช่อง ด้านหน้า