แม้สนามบินจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางจริงของนักท่องเที่ยว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสนามบินเป็น “หน้าด่านแรก” ที่สร้างความประทับใจแรกพบ และสะท้อนภาพลักษณ์ประเทศในสายตาของชาวต่างชาติ หลายประเทศทั่วโลกจึงพยายามยกระดับ “สนามบินประจำชาติ” ให้สามารถส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับนักเดินทางทุกคน
นอกเหนือจากดีไซน์สุดอลังการแล้ว สิ่งที่ช่วยเสริมให้การใช้บริการในสนามบินคล่องตัวมากยิ่งขึ้น คงหนีไม่พ้น “เทคโนโลยี” เพื่อให้การเดินทางของผู้โดยสารทุกคนราบรื่นมากที่สุด ซึ่ง “Airport Indoor Navigation” หรือระบบนำทางภายในอาคารสนามบิน เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในสนามบินหลายแห่งทั่วโลก อาทิ สนามบินนานาชาติฮาหมัด สนามบินนานาชาติกลาสโกว์ สนามบินนานาชาติฮ่องกง ซึ่ง Airport Indoor Navigation จะเชื่อมต่อสัญญาณจากสมาร์ทโฟนไปยังอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Wi-Fi Access Point, Beacon, Ultrasonic Sensor เพื่อช่วยระบุพิกัด (Indoor Positioning) ของผู้โดยสารแต่ละคนแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถระบุตำแหน่งขณะเคลื่อนที่ รวมถึงเส้นทางการสัญจรภายในสนามบินของผู้โดยสารแบบภาพรวมและรายบุคคลได้ ด้วยความฉลาดของเทคโนโลยีนี้ ทำให้ปัจจุบันหลายสนามบินทั่วโลกได้มีการนำ Airport Indoor Navigation มาพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติม เพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และเชื่อมการเดินทางได้ไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น เช่น
1. AR Indoor Navigation นำเทคโนโลยีเสมือนผสานโลกจริง (Augmented Reality) สร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยการใช้คาแรกเตอร์อวตาร์ (Avatar) มาช่วยนำทางบนสถานที่จริงที่ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารค้นหาจุดบริการได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ สะดวกในการนัดพบกับครอบครัวและเพื่อน
2.Real-Time Notification เชื่อมต่อข้อมูลพิกัดปัจจุบันของผู้โดยสาร พร้อมคำนวณระยะเวลาในการรอคิวหรือเดินไปยังจุดบริการ อาทิ เคาน์เตอร์เช็กอิน จุดรับสัมภาระ ประตูขึ้นเครื่อง ลานจอดรถ จุดบริการ Shuttle Bus ร้านค้า ไปจนถึงแจ้งเลื่อนหรือยกเลิกเที่ยวบิน ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเผื่อเวลาช้อปปิ้งหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้แม่นยำ ไม่พลาดเที่ยวบิน
3.Passenger Queue Monitoring ข้อมูลพิกัดผู้โดยสารยังสามารถนำไปวิเคราะห์ความหนาแน่นในแต่ละพื้นที่ได้ ทำให้ผู้ให้บริการสนามบินสามารถจัดสรรดูแลได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า-ออกประเทศจำนวนมาก เช่น เปิดช่องบริการเพิ่ม หรือนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยลดเวลารอคิวของผู้โดยสาร
4.Passenger-Friendly Airport นำรูปแบบการสัญจรของผู้โดยสารมาวิเคราะห์ต่อยอดในการออกแบบพื้นที่และจุดให้บริการภายในสนามบินให้สอดคล้องกับขั้นตอนและพฤติกรรม เพื่อให้ผู้โดยสารใช้บริการได้อย่างสะดวกคล่องตัว ตั้งแต่เข้าสู่สนามบินจนถึงขึ้นเครื่อง เช่น ติดตั้ง Kiosk ใกล้กับ Self-Back Drop สามารถเช็กอินพร้อมฝากสัมภาระได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องใช้เวลาค้นหานาน
5.Intelligent Facilities Management ผู้ให้บริการสนามบินสามารถอัปเดตข้อมูลแผนผังให้ผู้โดยสารรับรู้ได้แบบเรียลไทม์ และสามารถระบุพิกัดที่มีเหตุขัดข้อง เพื่อประสานการทำงานร่วมกันของระบบการบำรุงรักษาเชิงป้องกันภายในสนามบิน ให้ดูแลเหตุต่างๆ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
6.Advertising & Proximity Marketing ข้อมูลการสัญจรของผู้โดยสารยังช่วยในการทำการตลาดของร้านค้าภายในสนามบิน โดยวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อนำเสนอสินค้าหรือโปรโมชั่นตามความสนใจเฉพาะตัว หรือยิงโฆษณาชักชวนให้เข้ามาใช้บริการร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง
7.Security and Access เชื่อมระบบดูแลความปลอดภัยภายในอาคารสนามบิน เฝ้าระวังการเข้า-ออกบริเวณพื้นที่หวงห้าม เพื่อป้องกันความเสี่ยงและสามารถเข้าระงับเหตุได้ทันท่วงที